เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ เราต้องใช้ฟังก์ชันใดฟังก์ชันหนึ่งเป็นอาร์กิวเมนต์ที่ 1 ของฟังก์ชันอื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ฟังก์ชัน RPAD() จะเป็นอาร์กิวเมนต์ที่ 1 ของฟังก์ชัน LPAD() หรือฟังก์ชัน LPAD() จะเป็นอาร์กิวเมนต์ที่ 1 ของฟังก์ชัน RPAD() สามารถเข้าใจได้ด้วยความช่วยเหลือของตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง
mysql> Select RPAD(LPAD(' My name is Ram ',23,'* '),30,'* '); +------------------------------------------------+ | RPAD(LPAD(' My name is Ram ',23,'* '),30,'* ') | +------------------------------------------------+ | * * * * My name is Ram * * * * | +------------------------------------------------+ 1 row in set (0.00 sec)
ในแบบสอบถามด้านบน LPAD() เป็นอาร์กิวเมนต์แรกของฟังก์ชัน RPAD()
mysql> Select LPAD(RPAD(' My name is Ram ',23,'* '),30,'* '); +------------------------------------------------+ | LPAD(RPAD(' My name is Ram ',23,'* '),30,'* ') | +------------------------------------------------+ | * * * * My name is Ram * * * * | +------------------------------------------------+ 1 row in set (0.00 sec)
ในแบบสอบถามด้านบน RPAD() คืออาร์กิวเมนต์แรกของฟังก์ชัน LPAD()