พจนานุกรมหลามสองพจนานุกรมอาจมีคีย์ทั่วไประหว่างกัน ในบทความนี้ เราจะพบวิธีหาความแตกต่างของคีย์ที่มีอยู่ในพจนานุกรมสองชุด
พร้อมชุด
ที่นี่เราใช้พจนานุกรมสองชุดและใช้ฟังก์ชัน set กับพจนานุกรมเหล่านั้น จากนั้นเราลบทั้งสองชุดเพื่อให้ได้ผลต่าง เราทำทั้งสองวิธีโดยลบพจนานุกรมที่สองออกจากแรกและถัดไปลบแบบฟอร์มพจนานุกรมแรกที่สอง คีย์ที่ไม่ธรรมดาจะแสดงอยู่ในชุดผลลัพธ์
ตัวอย่าง
dictA = {'1': 'Mon', '2': 'Tue', '3': 'Wed'} print("1st Distionary:\n",dictA) dictB = {'3': 'Wed', '4': 'Thu','5':'Fri'} print("1st Distionary:\n",dictB) res1 = set(dictA) - set(dictB) res2 = set(dictB) - set(dictA) print("\nThe difference in keys between both the dictionaries:") print(res1,res2)
ผลลัพธ์
การเรียกใช้โค้ดข้างต้นทำให้เราได้ผลลัพธ์ดังต่อไปนี้ -
1st Distionary: {'1': 'Mon', '2': 'Tue', '3': 'Wed'} 1st Distionary: {'3': 'Wed', '4': 'Thu', '5': 'Fri'} The difference in keys between both the dictionaries: {'2', '1'} {'4', '5'}
การใช้ in with for loop
ในอีกแนวทางหนึ่ง เราสามารถใช้ for loop เพื่อวนซ้ำผ่านคีย์ของพจนานุกรมหนึ่งๆ และตรวจสอบการมีอยู่โดยใช้ in clause ในพจนานุกรมที่สอง
ตัวอย่าง
dictA = {'1': 'Mon', '2': 'Tue', '3': 'Wed'} print("1st Distionary:\n",dictA) dictB = {'3': 'Wed', '4': 'Thu','5':'Fri'} print("1st Distionary:\n",dictB) print("\nThe keys in 1st dictionary but not in the second:") for key in dictA.keys(): if not key in dictB: print(key)
ผลลัพธ์
การเรียกใช้โค้ดข้างต้นทำให้เราได้ผลลัพธ์ดังต่อไปนี้ -
1st Distionary: {'1': 'Mon', '2': 'Tue', '3': 'Wed'} 1st Distionary: {'3': 'Wed', '4': 'Thu', '5': 'Fri'} The keys in 1st dictionary but not in the second: 1 2