สัปดาห์ที่แล้ว ฉันพยายามซื้อเสื้อจากร้านค้าออนไลน์ เลือกแบบ ขนาด และสีที่ชอบ แล้วพยายามเคลียร์ตะกร้า หน้าชำระเงินมีขนาดใหญ่และแบ่งออกเป็นหลายหน้า ทุกครั้งที่ฉันคิดว่าฉันทำเสร็จแล้ว ฉันต้องกรอกข้อมูลเพิ่มเติม หลังจาก 10 นาทีนี้ ฉันเบื่อและไปไซต์อื่น
แม้ว่านี่อาจไม่ใช่ประสบการณ์ที่แน่นอนของคุณ แต่คุณอาจประสบกับความไม่สะดวกบางประการที่ขัดขวางไม่ให้คุณซื้อผลิตภัณฑ์ออนไลน์ มั่นใจได้เลยว่าลูกค้าของคุณก็มีเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่การสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ยอดเยี่ยมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการขายของคุณ บทความนี้มีทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ในการปรับแต่งหน้าชำระเงิน WooCommerce ให้เร็วขึ้น กระปรี้กระเปร่า และดีกว่าสำหรับผู้ซื้อของคุณ
TL;DR: หน้า WooCommerce ทั้งหมดของคุณสามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดายด้วยปลั๊กอินตัวสร้างเพจ เช่น SeedProd หรือ Elementor แต่ก่อนที่คุณจะทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในไซต์ของคุณ เราขอแนะนำให้คุณสำรองข้อมูลไซต์ WordPress ด้วย BlogVault การสำรองข้อมูลแบบเรียลไทม์ของ BlogVault ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อปกป้องไซต์ WooCommerce ทำให้การสำรองและกู้คืนทำได้ง่ายด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเว็บไซต์ของคุณจะปลอดภัย
หน้าชำระเงินเริ่มต้นของ WooCommerce เป็นอย่างไร
หน้าชำระเงิน WooCommerce เริ่มต้นนั้นไม่เลว มันไม่ดี ได้รับการออกแบบให้เป็นหน้าชำระเงินทั่วไปที่ใช้ได้กับผลิตภัณฑ์มากมาย ดังนั้นในขณะที่เรากำลังจะพูดถึงวิธีปรับแต่งหน้าชำระเงินของ WooCommerce เราจะไม่ทิ้งหน้าชำระเงินเริ่มต้นอย่างแน่นอน เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเราแนะนำให้ปรับแต่งตามความรู้ของคุณเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ลูกค้า และพฤติกรรมของพวกเขา
เปิดไซต์ของคุณในแท็บที่ไม่ระบุตัวตนและเพิ่มสินค้าลงในรถเข็นของคุณ ดำเนินการชำระเงินและดูหน้าการชำระเงินเริ่มต้น:
ตามค่าเริ่มต้น หน้าชำระเงินของ WooCommerce จะถามลูกค้าของคุณสำหรับรายละเอียดการเรียกเก็บเงินพื้นฐาน เช่น ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับการสั่งซื้อและวิธีการชำระเงินของคุณ นี่เป็นสิ่งที่คุณต้องการน้อยที่สุด แต่ไม่ได้สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของคุณ บทความนี้จะแสดงวิธีแก้ไขหน้าชำระเงินของ WooCommerce ด้วยวิธีต่างๆ
หมายเหตุ :ก่อนที่คุณจะเริ่มแก้ไขหน้าชำระเงินของ WooCommerce ให้เตรียมสินค้าสองสามอย่างไว้ในรถเข็น นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการดูผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในหน้าชำระเงิน
วิธีปรับแต่งหน้าชำระเงิน WooCommerce อย่างง่ายดายด้วย Elementor
คุณสามารถแก้ไขหน้าเช็คเอาต์ WooCommerce เริ่มต้นหรือใช้เทมเพลตที่มีอยู่ คุณสามารถลองใช้เทมเพลตต่างๆ ได้โดยคลิก เทมเพลต ในแถบด้านข้าง หากคุณต้องการแก้ไขหน้าชำระเงินเริ่มต้น ส่วนนี้เหมาะสำหรับคุณ วิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการทำให้หน้าเช็คเอาต์ของคุณดูเรียบร้อยคือการใช้ตัวสร้างเพจ เรากำลังใช้ Elementor ยอดนิยมในการทำเช่นนั้น แม้ว่าตัวสร้างเพจอื่นๆ จะทำงานในลักษณะเดียวกัน เราชอบ Elementor เพราะมันง่ายต่อการติดตั้งและใช้งาน อีกทั้งยังมาพร้อมกับวิดเจ็ตเฉพาะของ WooCommerce มากมาย
หากต้องการแก้ไขหน้าการชำระเงิน สิ่งที่คุณต้องมีคือวิดเจ็ตการชำระเงินของ Elementor แทนที่รหัสย่อของ woocommerce_checkout ด้วยวิดเจ็ต ซึ่งจะทำให้คุณมีหน้าชำระเงินที่ปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ มันใช้งานได้ดีควบคู่ไปกับวิดเจ็ตรถเข็นของ Elementor ทำให้กระบวนการออกแบบทั้งหมดทำได้ง่าย โปรดทราบว่าโซลูชันแบบครบวงจรนี้มาพร้อมกับราคา คุณต้องมี Elementor เวอร์ชัน Pro เพื่อใช้วิดเจ็ตเหล่านี้ หากคุณไม่ต้องการลงทุนใน Elementor นี่คือขั้นตอน:
- ติดตั้งและเปิดใช้งาน Elementor: บนแดชบอร์ด WordPress คลิก ปลั๊กอิน แล้ว เพิ่มใหม่ ค้นหาองค์ประกอบ คลิก ติดตั้ง และ เปิดใช้งาน เมื่อได้รับแจ้ง การดำเนินการนี้จะติดตั้ง Elementor Pro
- เพิ่มรหัสใบอนุญาต: คลิกองค์ประกอบ ในแถบด้านข้าง คลิกใบอนุญาต เพิ่มรหัสใบอนุญาต แล้วคลิกเปิดใช้งาน ปลั๊กอินพร้อมใช้งานแล้ว
- เปิดหน้าชำระเงินในตัวแก้ไข Elementor: วางเมาส์เหนือ หน้า และคลิก ทุกหน้า . วางเมาส์เหนือหน้าชำระเงิน และคลิกแก้ไข . ที่ด้านบน ให้คลิก แก้ไขด้วย Elementor . รอสักครู่ หน้านี้จะเปิดขึ้นในตัวแก้ไข Elementor
- ทำความคุ้นเคยกับการแก้ไข Elementor: Elementor ทำงานในส่วนแนวนอนที่คุณสามารถปรับแต่งได้โดยเลือกว่าแต่ละส่วนจะมีคอลัมน์กี่คอลัมน์ คลิก + ในตัวแก้ไขหน้าเพื่อเพิ่มส่วนและจะแจ้งให้คุณเลือกหมายเลขและเลย์เอาต์ของคอลัมน์ที่คุณต้องการในส่วนนั้น ลากองค์ประกอบจากแถบด้านข้างเพื่อเพิ่มลงในคอลัมน์ ปรับแต่งแต่ละองค์ประกอบจากแถบด้านข้าง คุณจะเห็นการตั้งค่าที่เกี่ยวข้องเมื่อคุณเลือกแต่ละองค์ประกอบ
- แทนที่รหัสย่อการชำระเงินด้วยวิดเจ็ตการชำระเงิน: ลบรหัสย่อและเพิ่มวิดเจ็ตการชำระเงินจากไลบรารีทางด้านซ้าย นี่จะแสดงตัวอย่างว่าหน้าเช็คเอาต์ของ Elementor เป็นอย่างไร
- ปรับแต่งหน้าชำระเงิน: คุณสามารถสำรวจการตั้งค่าต่างๆ ของ Elementor Checkout Widget ได้ในแถบด้านข้าง
ต่อไปนี้คือการตั้งค่าบางอย่างที่คุณสามารถเปลี่ยนได้:
- ทั่วไป: เลือกจากเค้าโครงคอลัมน์หนึ่งหรือสองคอลัมน์ และทำให้หนึ่งคอลัมน์ติดหนึบ
- Changing billing or shipping forms: Edit the header for each of these forms, each placeholder, and each field.
- Additional information: Provide a special section for your customers to add instructions or information for their order.
- Coupon settings: Customise the alignment and typography of your coupons.
You can edit more things by clicking Style :
- Purchase button: You can change the colors, the text, spacingetc for the purchase button.
- Order summary: You can choose the typography and spacing of the list of products ordered.
- Typography: You can customise all the text except forms.
- Forms: Customise the typography and colour of your forms. Use the Rows Gap settings to increase spacing.
- Review the page in Mobile View: Responsive design is very important, and you can use Elementor built-in view to see how your pages look on different screen sizes.
Editing the checkout page merely scratches the surface. Elementor and WooCommerce are a powerful combination that you can use to make your store really stand out.
So, we’ve talked about how easy it is to customise your whole checkout page with Elementor. But, what if you don’t want to use a plugin like Elementor and would prefer to just use the in-built editor? Keep reading to see how you can do that.
How to customise the design of your checkout page with the in-built editor
In this section, we’ll talk about how to use the Gutenberg editor to make changes to the WooCommerce checkout page. To open the page in the editor, hover over Checkout Page and click Edit.
This will lead you to the Gutenberg Block Editor. The block editor works in horizontal blocks of different types of content. You can add text, images, or headings by adding a block from the library on the left. Each block can be customised separately. You’ll see the block library in the sidebar, by clicking the + on the top left. You can change the settings of each block by clicking the gear button on the top right of the block tab.
You’ll also see some text, the shortcode, on the actual page. The shortcode is WooCommerce’s way of including checkout fields to your page. It looks like this:
woocommerce_checkout
Do not delete this shortcode. You can add images or text below and above this shortcode. Later on in this article, we’ll talk about editing those fields. But, for now, let’s talk about how to make changes to the general design. Here are the steps to do so:
Add text
- Add the Paragraph widget: You can add text below and above your shortcode. You’ll see text that says “Type/choose a block”. You can either drag and drop the Paragraph widget or just start typing the text you want. Double-click to go to a different block.
- Customise the text: You can edit the typography and colours in the block tab on the right. Just select the text or the block.
To add a header, you can change add the Header widget and edit it just the same. There are varying sizes like H1, H2, etc that you can choose from as well.
Add images
- Add the Image widget: Click the + on the top left and type Image in the search bar. Select the type of Image widget you’d like and click, or drag and drop into a column.
- Choose an image: Choose an image from your media library by clicking Media library, or click Upload to select a file from your local computer. You can add a caption if you’d like.
Add buttons
- Add the Button widget: You can search for it in the search bar in the blocks library.
- Customise button: Change the label of the button, alignment, and typography of the label in the popup that appears. You can also change the colour, border, and size in the block settings.
- Hyperlink the button: Click the URL button in the pop-up and paste a URL of a page you’d like to link the button to.
Explore other widgets in the block editor to help you customise the entire page. We also recommend you preview the page by clicking Preview on the top right. Once you’re done, click Update.
While there is a lot you can do with just the Gutenberg editor, you can’t change specific things like the fields. The next section will cover how to make those changes.
How to customise checkout page fields
Changing the checkout page fields can be more impactful than you realise. It really defines the experience for your customer. There are two ways to go about it:with a field manager plugin or manually. We’ll talk about both in this section.
Customising page fields with an extension
We’re using the Checkout Field Manager for WooCommerce plugin for this tutorial. You’ll have to buy the extension. Once you do, here are the steps to get started.
- Install and activate the plugin: On your wp-admin panel, hover over Plugins ve toband click Add New . Click Upload Plugin and Choose File and theme select the zip folder that you just downloaded. Click Install Now and Activate.
- Edit or add fields in WooCommerce Settings: Hover over WooCommerce and click Checkout . Click Billing, Shipping and Additional at the top and here you manage all your fields as follows:
- Disable fields: You can disable unnecessary ones, by toggling the Disabled column.
- Make some fields compulsory: You can toggle on Required and make some fields compulsory.
- Edit the look of the field: You can change the alignment of a field to be either left aligned, right aligned, or wide by choosing from the dropdown menu in the Positions คอลัมน์.
- Edit existing content: Click Edit at the end of the relevant field and a popup will appear. You can change the Name, Type, Label, Description, etc. Then, click Save .
- Add new fields :Click + Add New Field at the top left. You can fill in the details as you’d prefer. คลิก บันทึก .
- Save the changes: Once you’re done, click Save at the bottom left corner.
Customise page fields with code
If you’re familiar with coding, you can add code to your theme’s function.php file. Generally speaking, when modifying a theme using code, create a child theme first and modify that. This will preserve your changes and customisations when the theme updates.
It’s important to note that Checkout Field Manager, the extension we mentioned in the previous section, overrides the changes made to the functions.php file. So, they can’t be used parallely.
Additionally, it’s important to understand how WooCommerce loads the page fields in the first place. WooCommerce puts fields through a filter. This allows you to add custom code to make changes to the fields. In the case of WooCommerce checkout pages, this filter is as follows:
$this->checkout_fields =apply_filters(‘woocommerce_checkout_fields’, $this->checkout_fields);
This means that hooking into woocommerce_checkout_fields can override any existing code. Hooks are essentially pieces of code that modify WordPress core files. Your site has a few hooks that it comes with:
- woocommerce_before_checkout_form
- woocommerce_checkout_before_customer_details
- woocommerce_checkout_billing
- woocommerce_checkout_shipping
- woocommerce_checkout_after_customer_details
- woocommerce_checkout_before_order_review
- woocommerce_checkout_order_review
- Woocommerce_checkout_after_order_review
- Woocommerce_after_checkout_form
Additionally, there’s a long list of hooks that WooCommerce offers that you can choose from. You can also check out this list of hooks on Business Bloomer that helps you visualise the hooks. Now, let’s talk about how to change the fields.
Change the placeholder in the order_comments field
// Hook in
add_filter( ‘woocommerce_checkout_fields’ , ‘custom_override_checkout_fields’ );
// Our hooked in function – $fields is passed via the filter
function custom_override_checkout_fields( $fields )
$fields[‘order’][‘order_comments’][‘placeholder’] =‘My new placeholder’
return $fields
}
Change the label of the order_comments field
// Hook in
add_filter( ‘woocommerce_checkout_fields’ , ‘custom_override_checkout_fields’ );
// Our hooked in function – $fields is passed via the filter!
function custom_override_checkout_fields( $fields )
$fields[‘order’][‘order_comments’][‘placeholder’] =‘My new placeholder’
$fields[‘order’][‘order_comments’][‘label’] =‘My new label’
return $fields;
}
Remove a field
// Hook in
add_filter( ‘woocommerce_checkout_fields’ , ‘custom_override_checkout_fields’ );
// Our hooked in function – $fields is passed via the filter!
function custom_override_checkout_fields( $fields ) {
unset($fields[‘order’][‘order_comments’])
return $fields;
}
There’s a WooCommerce article on using code to help you customise your checkout fields.
Now, let’s talk about how to change the layout of your Checkout page.
How to change the checkout page layout
You can customise the layout of your WooCommerce page by adding action hooks. Here are some ways that you can change it:
Using a snippet management plugin
We’ll start with the easier method which is to add it using a snippet management plugin.
- Install and Activate Snippet Management Plugin: We’re using Code Snippets. You can find it in your plugins directory. Hover over Plugins and click Add New . Then search for Code Snippets and click Install and Activate.
- Copy the hook: Go to the WooCommerce library of hooks and copy the code or create a custom hook in a text editor and copy it. If, for example you want to add a Terms and Conditions section at the bottom, here’s what you would copy.
- Add the code: Hover over Code Snippets on the left and click Add New . Add a recognisable name for the hook. Select the functions tab. Paste the code at the bottom. Make sure the option to Run Snippet Everywhere is selected and click Save Changes and Activate. You’ve now successfully added a hook.
Adding the code manually
If you’d like to add it to your theme’s function.php file, here are the steps:
- Open theme file editor: Hover over Appearance on the sidebar and click Theme File Editor .
- Copy hook code: You can either copy it from the WooCommerce library or create a custom one on a text editor and copy it. Like we used in the previous section, if you’d like to add a T&C section, here’s the code you’d copy. There’s more in the WooCommerce hooks librar.
- Edit the functions.php file: On the right, scroll through the menu of files till you find functions.php. Paste the code you copied and click Update FIle . Congratulations. You’ve added a hook to your theme.
Additional plugins and extensions for your checkout page
Here are some additional extensions we recommend you install because it will definitely help you create an amazing checkout experience:
- WooCommerce Checkout Addons:This extension allows a customer to include addons in their order like gift wrapping, for example.
- WooCommerce One Page Checkout:This allows you to make any page a checkout page and makes the shopping process easier because the customer can now choose and buy a product on the same page.
- WooCommerce Social Login:This allows a customer to login with a social media account instead of their email or phone number.
- YITH WooCommerce Order Tracking:This helps manage shipping information easily. It allows your customers to track their purchases.
- YITH Advanced Refund System for WooCommerce:This helps you set up a refund system.
Why should you customise your WooCommerce checkout page?
The main goal of your checkout page is to encourage your customers to buy things from your site and here’s why a custom checkout page does just that:
- Faster for your customers: If you can remove unnecessary fields and make the process of buying faster for your customers, they’re less likely to ditch their cart. The longer the process, the less motivated a customer is to buy anything at all.
- Upsell more products: You can use the checkout page to sell other products that they might be interested in or related products. This is an opportunity for you to show your customers what they knew they needed but didn’t know you sold.
- Make the checkout process feel safe: You can add testimonials and this will help customers feel like they can trust you. You can also be transparent about why you’re asking for certain information.
Best ways to customise your WooCommerce checkout page
- Easily create an account: Make the process of creating an account painless for your customer. Make the time between adding a product to cart and paying for the product as quick as you can. Remove fields that are unnecessary like “Company”. If possible, make it optional.
- Add trust factors: This builds trust within the customer that their money is going to a safe place.
- Add social proof elements: This encourages customers to share their experience with your shop on their social media sites.
- Transparent charges: Don’t have additional charges unnecessarily. Make sure you’re clear about where their money is going. For instance, only add shipping charges in addition to the cost of the product.
- Offer enough checkout options: Strike a balance between adding too many and too few payment options. Use payment gateways that are popular amongst your target audience. We have articles on adding Stripe or PayPal to your WooCommerce page that you can check out.
Final thoughts
The default WooCommerce checkout is basic but customizable. Every aspect of the checkout page can be edited to create an amazing shopping experience for your customers. But, before you make any changes, it’s necessary to backup your site using BlogVault. This gives you insurance for when something goes wrong or if you’ve accidentally made the shopping experience worse. BlogVault not only takes real time backups but the restore process is an absolute piece of cake.
FAQ
What are action hooks?
Action hooks help you add a snippet of code to your core files that affects the way your site functions. WordPress has an overwhelmingly large library of hooks that you can use or you can create your own custom ones.
How do you edit text on WooCommerce Checkout Pages?
You can use your in-built WordPress editor or with a page builder plugin to edit and customise your fonts and text throughout your site. We recommend using a page builder like SeedProd. It’s easy to use and has both a free and paid version.
Where do you add hooks and filters?
You should add hooks and filters to your child theme’s function.php file. Child themes have the same look and feel of your parent theme but allows you to tweak and add code. You can identify your child theme by going to Appearance> Themes and looking for the theme without a feature image.=If you don’t have a child theme, checkout this article on creating one.