หน้าแรก
หน้าแรก
ตัวหารร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (GCD) ของตัวเลขสองตัวคือจำนวนที่มากที่สุดที่หารทั้งสองตัว ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเรามีตัวเลขสองตัวต่อไปนี้:45 และ 27 63 = 7 * 3 * 3 42 = 7 * 3 * 2 So, the GCD of 63 and 42 is 21 โปรแกรมหา GCD ของตัวเลขสองตัวโดยใช้การเรียกซ้ำมีดังต่อไปนี้ ตัวอย่าง #include<iostream>
ในระบบคอมพิวเตอร์ เลขฐานสองจะแสดงในระบบเลขฐานสองในขณะที่เลขฐานสิบอยู่ในระบบเลขฐานสิบ เลขฐานสองอยู่ในฐาน 2 ในขณะที่เลขฐานสิบอยู่ในฐาน 10 ตัวอย่างของเลขฐานสิบและเลขฐานสองที่เกี่ยวข้องกันมีดังนี้ - เลขทศนิยม เลขฐานสอง 10 01010 7 00111 25 11001 16 10000 โปรแกรมที่แปลงเลขฐานสองเป็นฐานสิบและเลขฐา
อาร์เรย์ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบและองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดในอาร์เรย์คือองค์ประกอบที่มากกว่าองค์ประกอบอื่นๆ ตัวอย่างเช่น 5 1 7 2 4 ในอาร์เรย์ด้านบน 7 เป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ที่ดัชนี 2 มีโปรแกรมค้นหาองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของอาร์เรย์ดังนี้ ตัวอย่าง #include <iostream> using names
จำนวนเฉพาะคือจำนวนเต็มที่มากกว่า 1 และตัวประกอบเฉพาะของจำนวนเฉพาะควรเป็นหนึ่งและตัวของมันเอง จำนวนเฉพาะกลุ่มแรกบางจำนวน ได้แก่ 2, 3, 5, 7, 11, 13,17 เป็นต้น อาจมีจำนวนเฉพาะจำนวนมากระหว่างช่วงสองช่วง ตัวอย่างเช่น จำนวนเฉพาะระหว่างช่วง 5 ถึง 20 คือ − 5, 7, 11, 13, 17 and 19. โปรแกรมค้นหาและแสดงจำนวน
หมายเลขอาร์มสตรองคือตัวเลขที่ผลรวมของหลักที่ยกกำลังของจำนวนหลักทั้งหมดเท่ากับตัวเลข ตัวอย่างตัวเลขของ Armstrong มีดังนี้ 3 = 3^1 153 = 1^3 + 5^3 + 3^3 = 1 + 125 + 27 = 153 371 = 3^3 + 7^3 + 1^3 = 27 + 343 + 1 = 371 407 = 4^3 + 0^3 + 7^3 = 64 +0 + 343 = 407 โปรแกรมเช็คเลขว่าเป็นเลขอาร์มสตรองหรือไม่
หมายเลขอาร์มสตรองคือตัวเลขที่ผลรวมของหลักที่ยกกำลังของจำนวนหลักทั้งหมดเท่ากับตัวเลขนั้น ตัวอย่างของตัวเลขอาร์มสตรองมีดังนี้ - 3 = 3^1 153 = 1^3 + 5^3 + 3^3 = 1 + 125 + 27 = 153 407 = 4^3 + 0^3 + 7^3 = 64 +0 + 343 = 407 1634 = 1^4 + 6^4 + 3^4 + 4^4 = 1 + 1296 + 81 + 256 = 1634 โปรแกรมที่แสดงตัวเลข
มีรูปแบบปิรามิดที่แตกต่างกันมากมายที่สามารถสร้างใน C ++ สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยใช้การซ้อนสำหรับลูป ปิรามิดบางส่วนที่สามารถสร้างได้มีดังนี้ รูปแบบพีระมิดพื้นฐาน รหัสสำหรับสร้างปิรามิดพื้นฐานมีดังต่อไปนี้ ตัวอย่าง #include <iostream> using namespace std; int main() { int n
จำนวนเฉพาะคือจำนวนเต็มที่มากกว่า 1 และตัวประกอบเฉพาะของจำนวนเฉพาะควรเป็นหนึ่งและตัวของมันเอง จำนวนเฉพาะกลุ่มแรกบางจำนวน ได้แก่ 2, 3, 5, 7, 11, 13,17 เป็นต้น อาจมีจำนวนเฉพาะจำนวนมากระหว่างช่วงสองช่วง ตัวอย่างเช่น จำนวนเฉพาะระหว่างช่วง 5 และ 20 คือ 5, 7, 11, 13, 17 และ 19 โปรแกรมค้นหาและแสดงจำนวนเฉพ
จำนวนธรรมชาติเป็นจำนวนเต็มบวกเริ่มต้นจาก 1 ลำดับของจำนวนธรรมชาติคือ − 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10…… โปรแกรมหาผลรวมของจำนวนธรรมชาติ n ตัวแรกโดยใช้การเรียกซ้ำมีดังนี้ ตัวอย่าง #include <iostream> using namespace std; int sum(int n) { if(n == 0) return
กำลังของตัวเลขสามารถคำนวณได้เป็น x^y โดยที่ x คือตัวเลข และ y คือกำลังของตัวเลขนั้น ตัวอย่างเช่น Let’s say, x = 2 and y = 10 x^y =1024 Here, x^y is 2^10 โปรแกรมหากำลังโดยใช้การเรียกซ้ำมีดังนี้ ตัวอย่าง #include <iostream> using namespace std; int FindPower(int base, int power) {
ค่าเฉลี่ยของตัวเลขคำนวณโดยการบวกตัวเลขทั้งหมดแล้วหารผลรวมด้วยจำนวนที่มีอยู่ ตัวอย่างมีดังนี้ The numbers whose average is to be calculated are: 10, 5, 32, 4, 9 Sum of numbers = 60 Average of numbers = 60/5 = 12 โปรแกรมที่คำนวณค่าเฉลี่ยของตัวเลขโดยใช้อาร์เรย์มีดังนี้ ตัวอย่าง #include <iostream&
เมทริกซ์คืออาร์เรย์ของตัวเลขสี่เหลี่ยมที่จัดเรียงในรูปแบบของแถวและคอลัมน์ ตัวอย่างของเมทริกซ์มีดังนี้ เมทริกซ์ 4*3 มี 4 แถว 3 คอลัมน์ดังแสดงด้านล่าง - 3 5 1 7 1 9 3 9 4 1 6 7 โปรแกรมที่บวกเมทริกซ์สองตัวโดยใช้อาร์เรย์หลายมิติมีดังนี้ ตัวอย่าง #include <iostream> using namespace std; int main
เมทริกซ์คืออาร์เรย์ของตัวเลขสี่เหลี่ยมที่จัดเรียงในรูปแบบของแถวและคอลัมน์ ตัวอย่างของเมทริกซ์มีดังนี้ เมทริกซ์ 3*3 มี 3 แถว 3 คอลัมน์ดังแสดงด้านล่าง - 8 6 3 7 1 9 5 1 9 โปรแกรมที่คูณเมทริกซ์สองตัวโดยใช้อาร์เรย์หลายมิติมีดังนี้ ตัวอย่าง #include<iostream> using namespace std; int main() { &n
เมทริกซ์คืออาร์เรย์ของตัวเลขสี่เหลี่ยมที่จัดเรียงในรูปแบบของแถวและคอลัมน์ ทรานสโพสของเมทริกซ์คือเมทริกซ์ใหม่ที่แถวของต้นฉบับคือคอลัมน์ในตอนนี้และในทางกลับกัน ตัวอย่างเช่น เมทริกซ์ได้รับด้านล่าง - 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ทรานสโพสของเมทริกซ์ด้านบนมีดังต่อไปนี้ 1 4 7 2 5 8 3 6 9 โปรแกรมหาทรานสโพสของเมทริก
สตริงคืออาร์เรย์อักขระหนึ่งมิติที่สิ้นสุดโดยอักขระ null ความยาวของสตริงคือจำนวนอักขระในสตริงก่อนอักขระว่าง ตัวอย่างเช่น char str[] = “The sky is blue”; Number of characters in the above string = 15 มีโปรแกรมหาความยาวของสตริงดังนี้ ตัวอย่าง #include<iostream> using namespace std;
สตริงคืออาร์เรย์อักขระหนึ่งมิติที่สิ้นสุดโดยอักขระ null สตริงสามารถมีสระ พยัญชนะ ตัวเลข และช่องว่างได้หลายตัว ตัวอย่างเช่น String: There are 7 colours in the rainbow Vowels: 12 Consonants: 15 Digits: 1 White spaces: 6 โปรแกรมหาจำนวนสระ พยัญชนะ ตัวเลข และช่องว่างในสตริงมีดังนี้ ตัวอย่าง #include &l
โครงสร้างคือชุดของรายการประเภทข้อมูลต่างๆ มีประโยชน์มากในการสร้างโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อนด้วยเร็กคอร์ดประเภทข้อมูลที่แตกต่างกัน โครงสร้างถูกกำหนดด้วยคีย์เวิร์ด struct ตัวอย่างโครงสร้างมีดังนี้ struct employee { int empID; char name[50]; float salary; }; โปรแ
พอยน์เตอร์เก็บตำแหน่งหน่วยความจำหรือที่อยู่ของตัวแปร กล่าวอีกนัยหนึ่ง พอยน์เตอร์อ้างอิงตำแหน่งหน่วยความจำ และรับค่าที่เก็บไว้ที่ตำแหน่งหน่วยความจำนั้นเรียกว่า dereference ตัวชี้ โปรแกรมที่ใช้พอยน์เตอร์ในการเข้าถึงองค์ประกอบเดียวของอาร์เรย์มีดังนี้ - ตัวอย่าง #include <iostream> using namespac
ในระบบคอมพิวเตอร์ เลขฐานแปดจะแสดงในระบบเลขฐานแปดในขณะที่เลขฐานสิบอยู่ในระบบเลขฐานสิบ เลขฐานแปดอยู่ในฐาน 8 ในขณะที่เลขฐานสิบอยู่ในฐาน 10 ตัวอย่างของเลขฐานสิบและเลขฐานแปดที่เกี่ยวข้องมีดังนี้ เลขทศนิยม เลขฐานแปด 10 12 70 106 25 31 16 20 โปรแกรมที่แปลงเลขฐานแปดเป็นทศนิยมและเลขฐานสิบเป็นฐานแปดม
สตริงคืออาร์เรย์อักขระหนึ่งมิติที่สิ้นสุดโดยอักขระ null ด้านหลังของสตริงเป็นสตริงเดียวกันในลำดับที่ตรงกันข้าม ตัวอย่างเช่น Original String: Apple is red Reversed String: der si elppA โปรแกรมที่กลับประโยคในรูปแบบของสตริงโดยใช้การเรียกซ้ำมีดังต่อไปนี้ ตัวอย่าง #include <iostream> using namespac